ทะแยมอญ
- monna banmuang
- 12 ต.ค. 2564
- ยาว 1 นาที
อันชนใดไม่มีดนตรีกาล ในสันดานเป็นคนชอบกลนัก อีกใครฟังดนตรีไม่เห็นเพราะ เขานั้นเหมาะคิดขบถอัปลักษณ์” บทพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 6 ที่แสดงให้เห็นว่าดนตรีเป็นสิ่งจรรโลงใจของทุกผู้คน ที่ไม่ว่าจะเป็นผู้คนมาจากชนชาติใด จะเป็นชาติไทย ชาติฝรั่ง หรือชาติไหนๆ ก็ตามแต่ ล้วนแล้วแต่ก็มีดนตรีในหัวใจ รวมไปถึงมีเรื่องของศิลปะดนตรีเป็นสิ่งเกี่ยวเนื่องของประเพณี และวัฒนธรรมความเป็นชนชาติของชาตินั้นๆ ด้วยแทบทั้งสิ้น
เฉกเช่นชนชาติ “มอญ” ซึ่งเป็นชนชาติเก่าแก่ที่เคยมีความเจริญรุ่งเรืองทางอารยธรรม ศิลปวัฒนธรรม ศาสนา และการค้าขาย แต่กลับถูกรุกรานประเทศจนกลายเป็นชนชาติที่ไม่มีแผ่นดินจะอาศัย จำต้องเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารอพยพเข้าสู่ดินแดนประเทศไทย มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี เรื่อยมาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งปัจจุบันนี้ชาวมอญก็ได้อาศัยอยู่ในประเทศไทยด้วยความสงบสุข และคงไว้ซึ่งความเป็นชาติมอญ ที่ยังธำรงไว้ในเรื่องของภาษา ศาสนา ประเพณี พิธีกรรม ตลอดจนศิลปวัฒนธรรมด้านต่างๆ
โดยเฉพาะเรื่องของศิลปวัฒนธรรมทางด้านดนตรีนั้น ชาวมอญยังคงรักษา อนุรักษ์ และสืบสานตกทอดกันมาจนถึงทุกวันนี้ โดยมีการแสดงทางด้านดนตรีที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของชาวมอญที่เรียกกันว่าการแสดง “ทะแยมอญ” ที่ทุกวันนี้น้อยคนนักจะรู้จัก และได้เห็นการแสดงทะแยมอญนี้ว่าเป็นเช่นไร
"ทะแยมอญ" เป็นคำที่คนไทยใช้เรียกการละเล่นของชาวมอญในประเทศไทย พระมหาจรูญ จอกสมุทร ได้แสดงความคิดเห็นไว้ในวิทยานิพนธ์เล่มหนึ่งว่า คำว่า “ทะแย” น่าจะเป็นคำภาษาไทยที่เพี้ยนมาจากภาษามอญว่า “แตะเหยห์” แปลว่า “ร้อง” แต่คนมอญไม่ค่อยนำมาใช้เป็นภาษาพูด ดังนั้น แตะเหยห์ จึงคงปรากฏเป็นภาษาเขียนเท่านั้น แต่ถ้านำคำ “แตะเหยห์” มาเทียบคำต่อคำให้เป็นภาษาไทยจะได้ตรงกับคำว่า “ทเยห์” และคำว่า “มอญ” ก็ตรงกับคำว่า “หม่นหรือโมน” จึงน่าจะเป็นไปได้ที่คนไทยเรียกเพี้ยนจาก “แตะเหยห์โมน” มาเป็น “ทะแยมอญ” ดังที่เรียกกันในทุกวันนี้แต่ในหมู่คนมอญจะเรียกการละเล่นทะแยมอญนี้ว่า “แหมะแขวก” “ปัวแขก” “ฮะมายแขวก” หรือ “แขวกโมน” ซึ่งคำเหล่านี้มีความหมายเหมือนกันหมายถึงการเล่นที่มีทั้งดนตรีและขับร้อง “แขวก” แปลว่า เพลง “ปัว” แปลว่า มหรสพ “ปัวแขก” จึงหมายถึงมหรสพที่มีการขับร้องและดนตรี
การละเล่นทะแยมอญนั้น มีลักษณะเป็นวงดนตรีประเภทวงเครื่องสาย เป็นเพลงปฏิพากย์คล้ายกับการเล่นเพลงพื้นเมืองของไทย เช่น เพลงลำตัด เพลงฉ่อย เพลงอีแซว มีนักดนตรี และมีนักร้องหญิง-ชายขับร้องโต้ตอบกันเป็นคู่ๆ พร้อมทั้งร่ายรำประกอบ มีเนื้อร้องที่ไม่หยาบคาย เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติ หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา นิทาน คติสอนใจ ชาดก และประวัติศาสตร์ โดยนำเนื้อหามาผูกเป็นเรื่องราวขับร้องให้ฟังแทนการอ่านหรือเล่าเรื่อง ซึ่งการแสดงทะแยมอญ สามารถเล่นได้ทั้งงานมงคลรื่นเริง หรืองานอวมงคลต่างๆ
ปัจจุบันนี้การแสดง “ทะแยมอญ” ของชาวมอญ เรียกว่าแทบจะหาฟังและหาชมได้ยากยิ่ง แต่ถือว่ายังเป็นเรื่องดีที่มีคนมอญอย่าง “ชุมชนชาวมอญบางกระดี่” ในพื้นที่แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร ได้ทำการรวมตัวกัน เพื่ออนุรักษ์และสืบทอดมรดก วัฒนธรรมประเพณีการละเล่นทะแยมอญนี้ไว้เป็นอย่างดี โดยจัดตั้งเป็นคณะทะแยมอญขึ้นมา ภายใต้ชื่อคณะว่า “หงส์ฟ้ารามัญ” ที่ถือได้ว่าเป็นวงทะแยมอญวงเดียวในประเทศไทยก็ว่าได้
สำหรับเครื่องดนตรีที่ใช้ในการเล่นทะแยมอญนั้น จะประกอบไปด้วยเครื่องดนตรีหลัก 5 ชิ้น คือ 1.โกรเจิกป๊อย (เป็นซอสามสายมอญ) 2.จยาม (จะเข้) 3.ปุงตัง (กลองลักษณะคล้ายเปิงมาง) 4.คะเด หรือ หะเด (ฉิ่ง) 5.กะโลด หรือ ละโลด (ขลุ่ย) แต่ปัจจุบันนี้มีการนำซอด้วง ฉาบ และกรับมาร่วมบรรเลงด้วย
ทำนองดนตรีที่ใช้เล่นทะแยมอญมี 2 แบบ แบบแรกเป็นทำนองมอญดั้งเดิม มีชื่อเรียกเป็นภาษามอญ ใช้บรรเลงขับร้องกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษอย่างทำนอง เจิกมัว โปคเซ ชากกราย อะหล่นเซีย หะแกงัว เกมเจิน แต่พอเดี๋ยวนี้ก็มีการนำเอาทำนองเพลงไทยมาใช้บ้าง แต่เอามาแค่ทำนอง เนื้อร้องก็ยังต้องเป็นภาษมอญอยู่
สำหรับการแสดงทะแยมอญ เมื่อนักดนตรีพร้อม นักร้องพร้อม ก่อนเริ่มทำการแสดงจะต้องมีพิธีกรรมตามความเชื่อของการแสดงทะแยมอญ คือ ทำพิธีบูชาพระรัตนตรัย บิดา-มารดา เทพยดา เจ้าที่เจ้าทางทั้งปวง และไหว้ครูบาอาจารย์ โดยจะมีดอกไม้ ธูปเทียน เงิน 12 บาท และขันใส่น้ำใส่น้ำมนต์ทำน้ำมนต์ และผู้ที่จะทำพิธีจะเป็นครูผู้อาวุโสที่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้ประกอบพิธีกรรมได้ ซึ่งการประกอบพิธีกรรมเช่นนี้ก็เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้การแสดงสำเร็จไปได้ด้วยดี
และเมื่อทุกอย่างพร้อมก็เริ่มทำการแสดงทะแยมอญได้ โดยเริ่มด้วยเพลงไหว้ครู เพลงประจำวง จากนั้นก็ร้องเพลงที่ใช้ร้องในงานต่างๆ คำร้องมักนิยมกลอนสี่ (เวียะเกิณ) ที่บทหนึ่งมีสี่บรรทัด บรรทัดละสามวรรค แล้วมีการเปลี่ยนเนื้อหาของเพลงให้ตรงหรือเกี่ยวข้องกับกาลเทศะ โดยมีเนื้อหาที่ดีไม่มีคำหยาบคาย มีการร้องเกี้ยวพาราสีกันระหว่างหญิงและชาย ร่ายรำอย่างอ่อนช้อยไปมาตามจังหวะดนตรีอย่างสนุกสนานครื้นเครง ทำให้ผู้ที่ได้ชมการแสดงทะแยมอญต่างได้รับความสุข สนุกสนานสำราญใจกันอย่างเต็มที่
หงส์ฟ้ารามัญ เรียกได้ว่าเป็นคณะเดียวที่มีการแสดงทะแยมอญอยู่ที่ประเทศไทยนี้ ก็พยายามฝึกเด็กๆ เอาไว้ ฝึกไปทีละอย่างๆ พยายามให้ครบอยู่ ให้ช่วยกันอนุรักษ์มอญอย่างเดิมๆ อยากให้หมู่มอญเราอนุรักษ์วัฒนธรรมภาษามอญ และการละเล่นดนตรีมอญ เครื่องสายมอญ ทะแยมอญเราอนุรักษ์ไว้ เขาจะได้รู้ว่าทะแยมอญเป็นวัฒนธรรมประเพณีของมอญ ของคนไทยเชื้อสายมอญที่ยังมีอยู่
ถึงแม้ว่าทุกวันนี้ ชาวมอญจะไม่มีแผ่นดินเป็นของตัวเอง แต่ทว่าพวกเขาก็ยังคงมีซึ่งชาติ ศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณี และศิลปวัฒนธรรมอันดี ที่สืบเนื่องและธำรงรักษาไว้อย่างดีมาจนถึงทุกวันนี้

Comments